การวิจัย เรื่อง การพัฒนาความสามารถในการคิดแก้ปัญหา และจิตวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดประสบการณ์ด้วยการสืบเสาะหาความรู้แบบ 5 E
โดย นางสาวกนกวรรณ พิทยะภัทร ของมหาวิทยาลัยศิลปากร ปีการศึกษา 2556
บทที่ 1 บทนำ
การจัดการเรียนรู้ด้วยการสืบเสาะหาความรู้แบบ 5E เป็นรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่เน้นการสืบเสาะได้พัฒนาขึ้นมาจากกิจกรรมการสอนวิทยาศาสตร์เป็นการจัดการเรียนรู้ที่ฝึกให้ผู้เรียน รู้จักค้นคว้าหาความรู้โดยใช้กระบวนการทางความคิดหาเหตุผล ทําให้ค้นพบความรู้หรือแนวทางการแก้ปัญหาด้วยตนเอง
1.การจัดประสบการณ์ด้วยการสืบเสาะหาความรู้แบบ 5E
1.1 ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement)
ทบทวนประสบการณ์เดิมของเด็กและกระตุ้นให้เด็กเกิดความสนใจอยากรู้อยากเห็นในความรู้ใหม่นําไปสู่การกำหนดปัญหาที่ต้องการศึกษา
1.2 ขั้นสํารวจและค้นหา (Exploration)
เด็กวางแผนและออกแบบการสํารวจรวบรวมข้อมูลและลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง เช่น ทำการทดลอง การทํากิจกรรมภาคสนาม และบนทึกผลการทดลอง เพื่อให้ได้ข้อมูลอย่างเพียงพอ
1.3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation)
นําข้อมูลที่ได้จากการสำรวจ ทดลอง มาสรุปผลและนําเสนอผลในรูปแบบต่างๆ เช่น การวาดภาพ ทําแผนภูมิความคิด โดยมการลงข้อสรุปที่ถูกตองเชื่อถือได้ ได้แก่ 1.ความสามารถในการคิด
แก้ปัญหา 2.จิตวทยาศาสตร์ ความสนใจใฝ่รู้ ความรับผิดชอบ ความซื่อสัตย์
1.4 ขั้นขยายความรู้ (Elaboration)
นําความรู้ที่ได้ไปเชื่อมโยงหรือขยายความคิดให้กวางขึ้นหรือเชื่อมโยงความรู้เดิมสู่ความรู้ใหม่แล้ว นำไปศึกษาค้นคว้าทดลองเพิ่มเติม
1.5.ขั้นประเมินผล (Evaluation)
ประเมินองค์ความรู้ของเด็กตามสภาพจริง ดูจากผลงาน สังเกตพฤติกรรมขณะรวมกิจกรรมและการตอบคำถามเพื่อให้ทราบว่าเด็กมีความรู้อะไร อย่างไร
2.จิตวิทยาศาสตร ์ (Scientific Mind)
จิตวิทยาศาสตร์ หมายถึง พฤติกรรมของเด็กปฐมวัยที่เกิดขึ้นนขณะที่ครูจัดประสบการณ์ โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งสามารถวัดได้จากแบบสังเกตพฤติกรรมตามคุณลักษณะของจิตวิทยาศาสตร ์ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ได้แก่ ความสนใจใฝ่รู้ ความรับผิดชอบและความซื่อสัตย์
จิตวิทยาศาสตร์ หมายถึง ลักษณะนิสัยหรือพฤติกรรมของเด็กปฐมวัยที่มีต่อวิชาวิทยาศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นความชอบ ความสนใจ เห็นคุณค่า และเกิดแรงจูงใจใน การเรียนวิทยาศาสตร์ รวมทั้งยังเป็นการแสดงพฤติกรรมของเด็กปฐมวยที่มีต่อการเรียนวิทยาศาสตร์ ความพึงพอใจในการเรียนวิทยาศาสตร์และสนใจที่จะค้นคว้าสิ่งใหม่ๆอยู่เสมอ
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
1.เพื่อศึกษาความสามารถในการคิดแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 2 หลังการจัดประสบการณ์ ด้วยการสืบเสาะหาความรู้แบบ 5E
2.เพื่อศึกษาจิตวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 2 หลังได้รับการจัดประสบการณ์ด้วยการสืบเสาะหาความรู้แบบ 5E
บทที่ 2 วรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง
1.หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยปี พ.ศ. 2546 และหลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนบ้านลาดใหญ่สามัคคี
2.แนวคิดเกี่ยวกับการจัดประสบการณ์เด็กปฐมวัย ได้แก่ แนวคิดของเพียเจท์ แนวคิดของ จอห์นดิวอี้ และแนวคิดของอิริคสัน
3.การคิดแก้ปัญหา ได้แก่ ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจท์ ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของบรูเนอร์ และทฤษฎีพัฒนาการทางด้านสติปัญญาของไวกอตสกี
4.การจัดประสบการณ์ด้วยการสืบเสาะหาความรู้แบบ 5E
5.จิตวิทยาศาสตร์
6.งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
บทที่ 3 วิธีดําเนินการวิจัย
1.ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
1.1 ประชากร ได้แก่ เด็กปฐมวัยชาย-หญิง อายุระหว่าง 5-6 ปี ที่กำลังศึกษาอยู่ชั้นอนุบาลปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2556 ของโรงเรียนในกลุ่มเครือขายลาดใหญ่ ่จํานวน 10 โรงเรียน
สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสงคราม จํานวน 200คน
1.2 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ เด็กปฐมวัยชาย-หญิง อายุระหว่าง 5-6 ปีที่กำลังศึกษาอยู่ใน
ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2556 โรงเรียนบ้านลาดใหญสามัคคี ซึ่งได้จากการสุ่มอย่างง่าย
(Simple Random Sampling) โดยวิธีการจับสลากห้องเรียนได้ห้องอนุบาลปีที่ 2 จํานวน 23 คน
2.ระยะเวลา
ใช้เวลาในการดำเนินการจัดประสบการณ์ 8 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 5 วัน คือ วันจันทร์ถึงวันศุกร์ในช่วงกิจกรรมเสริมประสบการณ์ วันละ45 นาที เริ่มตั้งแต่วันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 ถึง
วันที่ 27 ธันวาคมพ.ศ. 2556
3.เครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินการ
3.1 แผนการจัดประสบการณ์ด้วยการสืบเสาะหาความรู้แบบ 5E
ในการนี้ผู้วิจัยได้นํารูปแบบการจดประสบการณ์ตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พ.ศ. 2546 และแนวทางการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ปฐมวัยของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) มากําหนดเป็นหน่วยการจัดประสบการณ์โดยใช้แหล่งท่องเที่ยวและของดีประจําจังหวัด
สมุทรสงครามกาหนดเป็นเนื้อหาสาระการเรียนรู้ของหน่วยการจัดประสบการณ ์ จํานวน 8 หน่วย
คือ
1.หน่วยดอนหอยหลอด
2.หน่วยดอกไม้ในอุทยานรัชกาลที่ 2
3.หน่วยแม่นํ้าแม่กลอง
4.หน่วยนาเกลือ
5.หน่วยปลาทูแม่กลอง
6.หน่วยป่าชายเลน
7.หน่วยมะพร้าว
8.หน่วยน้ำตาลมะพร้าว
จัดกิจกรรมในช่วงกิจกรรมเสริมประสบการณ์
3.2 แบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัย
โดยทดสอบการคิดแก้ปัญหาของตนเองที่ไม่เกี่ยวข้องกับผู้อื่นจํานวน 4 สถานการณ์ ได้แก่
1.ถ้าหนูรับประทานปลาทู
แลวก้างปลาติดคอ หนูทําอยางไร
2.ถ้าหนูไปปลูกป่าชายเลนแล้วโดนโคลนดูดขา หนูทําอยางไร
3.ถ้าหนูอยากใชแว่นขยาย แต่เพื่อนกำลังใช้อยู่ หนูทําอยางไร
4.ในขณะที่หนูยืนเขาแถว หนูรู้สึกปวดปัสสาวะ หนูทําอยางไร
ปัญหาของผู้อื่น คือ การกระทำของผู้อื่นแต่มีผลกระทบกับตนเอง ได้แก่
1.ถ้าหนูเห็นเพื่อนไม่กล้าเดินเข้าไปในนาเกลือ หนูทําอยางไร
2.ถ้าหนูพบกระเป๋าสตางค์ของคนอื่นหล่นที่พื่อน
หนูทําอยางไร
3.ถ้ามีนักท่องเที่ยวมาถามทางไปสุขา หนูทําอย่างไร
4.ถ้าเพื่อนทำรองเท้านักเรียนหาย หนูทําอยางไร
3.3 แบบสังเกตพฤติกรรมตามคุณลักษณะของจิตวิทยาศาสตร์
ผู้วิจัยได้กำหนดพฤติกรรมตามคุณลกษณะของจิตวิทยาศาสตร์ที่ต้องการใช้ในการประเมินเด็กทั้ง
3 ด้าน ได้แก่ 1.ความสนใจใฝ่รู้ 2.ความรับผิดชอบ และ 3.ความซื่อสัตย์
3.4 แผนการจัดประสบการณ์ด้วยการสืบเสาะหาความรู้แบบ 5E
จํานวน 8 หน่วย มีขั้นตอน ดังนี้
1.ศึกษาหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยพุทธศักราช 2546
2.วิเคราะห์หลกสูตรการศึกษาปฐมวัยพุทธศกราช 2546 โรงเรียนบ้านลาดใหญ่สามัคคี สภาพที่
พึงประสงค์ของเด็กอายุ 5 ปี
3.กำหนดเนื้อหาโดยใช้แหล่งท่องเที่ยวและของดีประจำจังหวัดสมุทรสงครามและแนวทางการจัดการ
4.1 การวเิคราะห์ข้อมูลจากความสามารถในการคิดแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาล
ปีที่ 2 หลังการจัดประสบการณ์ด้วยการสืบเสาะหาความรู้แบบ 5E วัดด้วยแบบทดสอบวัด
ความสามารถในการคิดแกปัญหาโดยใช้ค่าร้อยละ (%) ค่าเฉลี่ย (X) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)
และ ทดสอบค่าที
One Sample t-test เมื่อเทียบกับคะแนนเฉลี่ยร้อยละ 80
4.2 การวิเคราะห์ข้อมูลจิตวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวยชั้นอนุบาลปีที่ 2 วัดด้วยแบบสังเกตพฤติกรรมตามคุณลักษณะของจิตวิทยาศาสตร์ขณะได้รับการจัดประสบการณ์ด้วยการสืบเสาะหาความรู้แบบ 5E ประกอบด้วย 3 ด้าน ได้แก่ ด้านความสนใจใฝ่รู้ ด้านความรับผิดชอบ และด้านความซื่อสัตย์
โดยเกณฑ์การให้คะแนน 3 ระดับ ได้แก่ ดี พอใช ้ปรับปรุง โดยใช้ค่าเฉลี่ย (X ) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน
(S.D.)
บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล
ตอนที่ 1 ผลการศึกษาความสามารถในการคิดแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 2 หลังการจัดประสบการณ์ด้วยการสืบเสาะหาความรู้แบบ 5E
ตอนที่ 1 ผลการศึกษาความสามารถในการคิดแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 2 หลังการจัดประสบการณ์ด้วยการสืบเสาะหาความรู้แบบ 5E
พิจารณาความสามารถในการคิดแก้ปัญหาผู้อื่น พบว่า สถานการณ์ที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด ได้แก่ สถานการณ์ที่ 4 (ถ้าเพื่อนทำรองเท้านักเรียนหาย หนูทําอยางไร) รองลงมา คือ
สถานการณ์ที่ 1 และสถานการณ์ที่ 2 (ถ้าหนูเห็นเพื่อนไม่กล้าเดินเข้าไปในนาเกลือ หนูทําอยางไร
และถ้าหนูพบกระเป๋าสตางค์ของคนอื่นหล่นที่พื่อน หนูทําอยางไร) มีค่าเฉลี่ยเท่ากัน และ
สถานการณ์ที่ 3 (ถ้ามีนักท่องเที่ยวมาถามทางไปสุขา หนูทําอย่างไร) มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด
พิจารณาความสามารถในการคิดแก้ปัญหาของตนเองที่ไม่เกี่ยวข้องกับผู้อื่น พบว่า สถานการณ์ที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด ได้แก่
สถานการณ์ที่ 3(ถ้าหนูอยากใชแว่นขยาย แต่เพื่อนกำลังใช้อยู่ หนูทําอยางไร ) รองลงมา คือ
สถานการณ์ที่ 2 และ สถานการณ์ที่ 4 (ถ้าหนูไปปลูกป่าชายเลนแล้วโดนโคลนดูดขา หนูทําอยางไร และในขณะที่หนูยืนเขาแถว หนูรู้สึกปวดปัสสาวะ หนูทําอยางไร ) และ
สถานการณ์ที่ 1(ถ้าหนูรับประทานปลาทู แลวก้างปลาติดคอ หนูทําอยางไร) มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด
ตอนที่ 2 ผลการศึกษาจิตวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 2 หลังได้รับการจัดประสบการณ์ด้วยการสืบเสาะหาความรู้แบบ 5E
หลังได้รับการจัดประสบการณ์ด้วยการสืบเสาะหาความรู้แบบ 5E เด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 2 มีจิตวิทยาศาสตร์ทั้ง 3 ด้าน อยู่ในระดับดี ด้านความซื่อสัตย์ มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด (หน่วยแม่น้ำกลองและหน่วยปลาทูแม่กลอง) รองลงมา คือ ด้านความรับผิดชอบ (หน่วยแม่น้ำกลอง) และด้านความสนใจใฝ่รู้ (หน่วยนาเกลือ หน่วยปลาทูแม่กลองและหน่วยมะพร้าว) มีค่าเฉลี่ยเท่ากัน
บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ
1.ความสามารถในการคิดแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 2 หลังการจัดประสบการณ์ด้วยการสืบเสาะหาความรู้แบบ 5E อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เม่ื่อนำไปเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 80 พบว่าสูงกว่าเกณฑ์คะแนนเฉลี่ยร้อยละ 80 ซึ่งยอมรับสมมติฐานการวิจัยที่กำหนดไว้ โดยมีคะแนนเฉลี่ยความสามารถในการคิดแก้ปัญหาของผู้อื่นสูงกว่าปัญหาของตนเองที่ไม่เกี่ยวข้องกับผู้อื่น
2.จิตวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยหลังได้รับการจัดประสบการณ์ด้วยการสืบเสาะหาความรู้
แบบ 5E ได้แก่ ความสนใจใฝ่รู้ ความรับผิดชอบและความซื่อสัตย์ พบว่า มีคะแนนเฉลี่ยอยู่ในระดับดี เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านความซื่อสัตย์ มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด รองลงมา คือด้านความรับ
ผิดชอบ และด้านความสนใจใฝ่รู้ ซึ่งยอมรับสมมติฐานการวิจัยที่กำหนดไว้
ที่มา : www.thapra.lib.su.ac.th
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น